เข้าพรรษา "พรรษาวิสุทธิ์"

    ไม่ว่าเราจะตั้งเป้าหมายทำอะไรในช่วงเข้าพรรษาก็ตาม  สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ  อย่าขาดการปฏิบัติธรรม  ให้การปฏิบัติธรรมเป็นเหมือนดั่งลมหายใจเข้าออกของเรา  เป็นอากาศที่เราจะขาดไม่ได้   การปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทำให้เราเกิดปัญญาสอนตัวเอง  เราจะเชื่อในเรื่องบุญบาป และกฎแห่งกรรม





วันเข้าพรรษา ความเป็นมา

          แต่เดิมนั้นพระพุทธองค์มิได้ทรงบัญญัติเรื่องการเข้าพรรษาของเหล่าพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะเมื่อถึงฤดูฝนของทุกปีพระพุทธองค์และเหล่าพระสงฆ์สาวกจะงดการออกจาริกตามสถานที่ต่าง ๆ เพื่อแสดงธรรม แก่ชาวเมืองเป็นปกติ ด้วยการเดินทางในสมัยนั้นไม่สะดวกมีความยากลำบากอยู่มาก  แต่พระพุทธองค์จะทรงจำพรรษาหรืออยู่อาศัย ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งตลอดช่วงฤดูฝน  อีกทั้งในสมัยต้นพุทธกาลพระภิกษุในพระพุทธศาสนายังมีจำนวนไม่มาก และพระภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นพระอริยสงฆ์ทั้งสิ้น  จึงทราบดีว่าอะไรเป็นสิ่งที่พระภิกษุควรกระทำและไม่ควรกระทำ

ครั้นเมื่อเวลาผ่านไปพระภิกษุสงฆ์มีจำนวนมากขึ้น ภิกษุเหล่านั้นมักจาริกไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อแสดงธรรมะแก่ญาติโยม และหาที่เงียบสงัดในพื้นที่ป่าเขาเพื่อเจริญสมาธิ ทำให้หลายครั้งต้องเดินผ่านท้องนาของชาวบ้าน  

แต่เมื่อฤดูฝนเริ่มมาถึง  ชาวนาเริ่มทำการเพาะปลูก  ด้วยความที่พระภิกษุเหล่านั้นไม่ทราบว่าหนทางที่เดินผ่านเป็นพื้นที่ทำเกษตรกรรมชองชาวบ้าน   จึงทำให้ท่านเดินเหยียบย่ำลงไปบนต้นกล้าที่กำลังเติบโต เพราะคิดว่าเป็นต้นหญ้า สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นแก่ชาวบ้านทั่วไป 

ชาวบ้านเหล่านั้นจึงได้พากันติเตียนและนำความไปกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  

เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบถึงปัญหาเช่นนั้น  จึงทรงกำหนดเป็นกฎระเบียบให้พระภิกษุสงฆ์อยู่ประจำพื้นที่ หรือจำพรรษา ณ ที่ใดที่หนึ่งตลอดช่วงฤดูฝนเป็นระยะเวลา 3 เดือน   โดยเริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11    

โดยวันเข้าพรรษาที่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตไว้มีอยู่ 2 วัน คือ

1.ปุริมพรรษา (บุริมพรรษา) คือ การเข้าพรรษาแรก เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (สำหรับปีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน จะเริ่มในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หลัง)  พระที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือน จะมีสิทธิรับกฐินซึ่งมีช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน นับตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12

2. ปัจฉิมพรรษา คือ การเข้าพรรษาหลัง ใช้ในกรณีที่พระภิกษุต้องเดินทางไกลหรือมีเหตุสุดวิสัย ทำให้กลับมาเข้าพรรษาแรกไม่ทัน ต้องรอไปเข้าพรรษาหลัง คือตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 9   จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเป็นวันหมดเขตทอดกฐินพอดี ดังนั้นพระภิกษุที่เข้าปัจฉิมพรรษาจึงไม่มีโอกาสได้รับกฐิน แต่ก็ได้พรรษาเช่นเดียวกับพระที่เข้าปุริมพรรษาเหมือนกัน

 

เมื่อพระภิกษุรูปใดเข้าจำพรรษาแล้ว พระภิกษุรูปนั้นจะไปค้างแรมที่อื่นไม่ได้  หากเดินทางออกไปแล้วกลับมาไม่ทันก่อนเวลารุ่งสว่าง จะถือว่าพระภิกษุรูปนั้น "ขาดพรรษา"  และจะไม่ได้รับอานิสงส์พรรษา ไม่ได้อานิสงส์กฐินตามพระวินัย และทั้งยังห้ามไม่ให้นับพรรษาที่ขาดนั้นอีกด้วย

 

ยกเว้นหากมีความจำเป็นใน 4 กรณี ที่เรียกว่า "สัตตาหกรณียะที่พระภิกษุผู้อยู่จำพรรษาสามารถเดินทางไปค้างแรมที่อื่นได้ โดยไม่ถือว่าเป็นการขาดพรรษา แต่ต้องกลับมาภายในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน คือ

1.การไปรักษาพยาบาลภิกษุ หรือบิดามารดาที่เจ็บป่วย
2.การไประงับภิกษุสามเณรที่อยากลาสิกขามิให้ลาสิกขา
3.การไปเพื่อกิจธุระของคณะสงฆ์ เช่น การไปหาอุปกรณ์มาซ่อมกุฏิที่ชำรุด หรือการไปทำสังฆกรรม เช่น สวดญัตติจตุตถกรรมวาจาให้พระผู้ต้องการอยู่ปริวาส 
4.หากทายกนิมนต์ไปทำบุญ ก็สามารถไปเพื่อรักษาศรัทธาในการบำเพ็ญกุศลของเขาได้  รวมถึงธุระอื่นนอกเหนือจากนี้ที่เป็นกิจลักษณะอนุโลมตามนี้ได้

 

            แต่ถึงแม้พระสงฆ์จะออกจากที่จำพรรษาด้วยเหตุสัตตาหกรณียะแล้วก็ตาม แต่หากล่วงกำหนด 7 วันตามพระวินัยแล้ว ก็ถือว่า ขาดพรรษา เหมือนกัน และเป็นอาบัติทุกกฎเพราะรับคำอธิษฐานเข้าพรรษาแล้วแต่ทำไม่ได้

       ส่วนกรณีที่พระสงฆ์สัตตาหกรณียะและกลับมาตามกำหนดแล้ว ไม่ถือว่าเป็นอาบัติ และสามารถกลับมาจำพรรษาต่อเนื่องไปได้ และหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกจากที่จำพรรษาไปได้ตามวินัยอีก ก็สามารถทำได้โดยสัตตาหกรณียะ แต่ต้องกลับมาภายใน 7วัน เพื่อไม่ให้พรรษาขาดและไม่เป็นอาบัติทุกกฎ

ภาพ : pixabay.com


วันเข้าพรรษา” สำคัญอย่างไร

         “เข้าพรรษา” สำหรับพระภิกษุสงฆ์

การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติพระวินัยเรื่องการเข้าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์  นอกจากจะเป็นการแก้ไขความเดือดร้อนของชาวบ้าน  และรักษาชีวิตสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ออกมาหากินในช่วงฤดูฝนแล้ว การเข้าพรรษายังมีประโยชน์ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ       พระภิกษุสงฆ์มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์คือ

            1.ทำให้พระภิกษุสงฆ์มีเวลาพักผ่อน  และมีโอกาสแลกเปลี่ยน ถ่ายทอดพระธรรมคำสอน ศีลธรรม และธรรมวินัยให้แก่กันและกัน

            2.มีเวลาเพื่อปฏิบัติธรรม การใช้เวลาเพื่อการปฏิบัติภาวนาให้มากขึ้นจะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา ทำให้สามารถสอนตนเองได้  อันจะเป็นหนทางไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งกาย วาจา ใจ และการเพิ่มพูนบารมีของตนเองให้มากยิ่งขึ้นจนสามารถกำจัดอาสวะกิเลสให้หมดไป 

            3.มีโอกาสในการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกอย่างต่อเนื่อง เรื่องใดที่ยังไม่รู้ก็มีโอกาสศึกษา เรื่องใดที่รู้แล้วแต่ยังไม่แม่นยำ ก็มีโอกาสศึกษาให้แตกฉานมากยิ่งขึ้น    นอกจากนี้ยังมีเวลาวางแผน เตรียมเนื้อหาเพื่อเทศน์สอนแก่ประชาชนหลังออกพรรษาไปแล้ว   หรือแม้หากมีพระภิกษุบวชใหม่ก็มีเวลาในการรับการถ่ายทอดธรรมะ และการอบรมสั่งสอนจากพระภิกษุผู้บวชก่อนได้อย่างเต็มที่

            4.ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรให้แก่กันและกัน  การทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น แน่นอนว่าย่อมพบเจอปัญหาและอุปสรรคระหว่างทางไม่มากก็น้อย  หนักเบาแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ซึ่งอาจทำให้พระภิกษุบางรูปรู้สึกท้อแท้จนอาจคิดลาสิกขาจากเพศบรรพชิต

 

เพราะเหตุผลดังกล่าว การเข้าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ในทุก ๆ ปีจึงมีความสำคัญมาก  เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่พระภิกษุจะมีเวลาอยู่กับตัวเองเพื่อคิดทบทวน และใช้เวลาไปเพื่อการปฏิบัติธรรมได้อย่างเต็มที่ เพื่อความบริสุทธิ์แห่งการครองเพศสมณะที่สมบูรณ์ และเป็นต้นแบบที่ดีในการออกไปทำหน้าที่เผยแผ่พระศาสนาในภายหลัง


ภาพ : pixabay.com 

“เข้าพรรษา”  สำหรับชาวพุทธ



       😉  😃 ตั้งเป้าหมาย “ทำความดี” อย่างน้อย 1 อย่าง

          การเข้าพรรษาแม้จะเป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระภิกษุสงฆ์โดยตรง  แต่ชาวพุทธก็ยึดถือเอาช่วงเข้าพรรษานี้เป็นโอกาสอันดีที่จะเพิ่มพูนบุญกุศลและคุณความดีให้แก่ตัวเองด้วยการลด ละ เลิก อบายมุขและบาปอกุศล บางคนอาจถือโอกาสนี้ในการอธิษฐานพรรษาหรือตั้งใจที่จะทำความดีอย่างใดอย่างหนึ่งตลอดระยะเวลา 3 เดือนในช่วงเข้าพรรษานี้  เช่น

-ตั้งใจถือศีล 8  ตลอดพรรษา

-ใส่บาตรตอนเช้าทุกวัน

-ตั้งใจสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน หรือจะนั่งสมาธิทุกวัน

-ตั้งใจเลิกเหล้า หรือเลิกบุหรี่อย่างถาวร  ฯลฯ

 

ความตั้งใจละชั่ว ทำดีในช่วงเข้าพรรษาของชาวพุทธเป็นสิ่งที่ถือปฏิบัติกันมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นพุทธประเพณีมาจวบจนถึงปัจจุบันนี้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าแม้กาลเวลาจะล่วงเลยไปตามยุคสมัย แต่ชาวพุทธก็ยังมีจิตใจที่ดีงามและมีความคุ้นเคยในเรื่องบุญบาปมาโดยตลอด อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตนในช่วงเข้าพรรษาเฉกเช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน


ภาพ : pixabay.com

พรรษาวิสุทธิ์

            วันเข้าพรรษาของทุกปี  จึงเป็นช่วงเวลาที่ชาวพุทธควรใช้เป็นโอกาสในการปรับปรุงข้อบกพร่องของตัวเอง   เรื่องใดที่เราเคยตั้งใจไว้ว่าจะทำแต่ยังไม่ได้ลงมือทำ ก็ควรถือเป็นโอกาสเริ่มต้นทำสิ่งนั้นเสีย  ที่สำคัญคือเรื่องที่จะทำก็ต้องเป็นเรื่องที่ดี  เป็นเรื่องที่ทำให้เรามีการพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นลักษณะนิสัย  พฤติกรรม  หรือเรื่องอะไรก็ตามที่ทำให้คุณธรรมความดีในตัวเราเพิ่มมากขึ้น

และไม่ว่าเราจะตั้งเป้าหมายทำอะไรในช่วงเข้าพรรษาก็ตาม  สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ  อย่าขาดการปฏิบัติธรรม  ให้การปฏิบัติธรรมเป็นเหมือนดั่งลมหายใจเข้าออกของเรา  เป็นอากาศที่เราจะขาดไม่ได้   การปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทำให้เราเกิดปัญญาสอนตัวเอง  เราจะเชื่อในเรื่องบุญบาป และกฎแห่งกรรม แม้ผลการปฏิบัติธรรมของเราจะดีบ้างไม่ดีบ้างก็ตาม  และยิ่งหากพร้อมใจกันทำทั้งครอบครัว  ความสว่างไสวย่อมบังเกิดขึ้น  ความเป็นสิริมงคลทั้งหลายจะหลั่งไหลมาสู่ตัวเราและคนในครอบครัวด้วยกระแสแห่งบุญนั้น 


ภาพ : pixabay.com


อานิสงส์

            เพศบรรพชิตนั้นเป็นเพศที่เหมาะสมแก่การแสวงหาหนทางพ้นทุกข์ เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปกับเรื่องการหาเลี้ยงครอบครัว  จึงเป็นเพศที่ปลอดกังวล ไร้พันธะผูกพันกับเรื่องใดๆ

            ต่างกับฆราวาสที่ยังต้องใช้ชีวิตทางโลก เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับเรื่องการทำมาหาเลี้ยงชีพและครอบครัว  ดังนั้นการตั้งเป้าหมายหรืออธิษฐานพรรษาของเราที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จลุล่วงดังที่ตั้งใจไว้ตลอดช่วงพรรษา  หากเราทำได้สำเร็จสมดังเจตนาแล้ว ย่อมได้รับอานิสงส์คือ

            -สัจจะบารมี   การอธิษฐานพรรษาเปรียบเสมือนสัจจะที่เราได้ให้สัญญาไว้กับตัวเอง  ซึ่งหากเราสามารถทำได้สำเร็จก็เท่ากับเราสามารถรักษาสัจจะที่ให้ไว้กับตัวเองได้

            -ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น  บางคนจากที่ปกติรักษาศีล 5 ยังไม่สมบูรณ์ ก็มีความตั้งใจที่จะรักษาศีล 5  หรือศีล 8 ตลอดช่วงพรรษานั้น

            -ฝึกความอดทนอดกลั้น  บางคนอาจตั้งใจไว้ว่าจะเลิกอบายมุขให้ได้อย่างเด็ดขาด เช่น เลิกเหล้า  เลิกบุหรี่    ฯลฯ  คนที่ตัดสินใจเลิกในสิ่งที่เคยทำเป็นปกติมาตลอดเป็นเวลาหลายปีนั้น ต้องมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก เพราะต้องใช้ทั้งกำลังใจและความพยายามที่จะไม่หวนกลับไปทำเช่นนั้นอีก

           

            ดังนั้นหากเราเห็นถึงความสำคัญของการเข้าพรรษาและมีความตั้งใจที่จะเพิ่มพูนคุณความดี  เพิ่มพูนบุญกุศลให้แก่ตัวเองจริงๆแล้ว    แม้เราจะมิใช่เพศบรรพชิตแต่เราก็สามารถอธิษฐานพรรษาได้เช่นเดียวกันกับพระภิกษุสงฆ์

และการเข้าพรรษาที่จะได้บุญได้อานิสงส์มากมายนั้น  ต้องควบคู่ไปกับการปฏิบัติธรรมเป็นประจำสม่ำเสมอจนกระทั่งตัวเรามีความรู้สึกว่า การปฏิบัติธรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของลมหายใจที่จะขาดเสียไม่ได้     

การปฏิบัติธรรมจะช่วยยกระดับจิตใจของเราให้สูงยิ่งขึ้น    เราจะมีความรักความเมตตา และปรารถนาดีต่อทุกชีวิตบนโลกใบนี้ การเบียดเบียน พยาบาทมาดร้ายต่อกันจะไม่บังเกิด 

หากเราปฏิบัติได้อย่างนี้จึงจะเป็นการจำพรรษาที่มีคุณค่า เป็น “พรรษาวิสุทธิ์   สมกับที่เราได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง.


-----------------------

บทความโดย : เดอะซัน

Blog : khaethinkpositive.blogspot

Facebook : @khaethinkpositive







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประวัติการก่อพระเจดีย์ทราย

คนแบบไหนที่เราควรอยู่ใกล้ๆ

ชนะได้.. แต่ไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้ง !!