ทำไมต้องสวดมนต์ ?

“การสวดมนต์” หรือการสวดภาวนานั้น เป็นพิธีกรรมที่มีในทุกศาสนา ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันในด้านของความเชื่อ ความศรัทธา  

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้แต่ละศาสนาจะมีความแตกต่างกันทางด้านความคิด  ประเพณี และพิธีกรรม  แต่วัตถุประสงค์ของการสวดมนต์ภาวนานั้น กลับมีความคล้ายคลึงกัน คือ  “การปรับอารมณ์ของใจ” ด้วยการยึดเหนี่ยวคำสอนเป็นที่พึ่ง เพื่อให้จิตใจเกิดความเข้มแข็ง พร้อมที่จะเผชิญหน้าและสู้กับทุกปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต




 การสวดมนต์ จึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านจิตใจได้ดีอีกทางหนึ่ง  และแน่นอนว่าเมื่อเรามีสุขภาพทางใจที่ดี ก็ย่อมส่งผลต่อสุขภาพทางกายเช่นกัน   จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ ทางการแพทย์สมัยใหม่จะนำเอาวิธีการ สวดมนต์บำบัด (Vibrational Therapy) มาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจควบคู่กันไป 

  การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือการใช้คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ก็เป็นVibrational Therapy เช่นกัน แต่เป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจากสวดมนต์บำบัดซึ่งเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต



รศ.ดร.สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี  อดีตหัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 

  ได้ให้ความรู้ในการรักษาด้วยวิธีนี้ว่า  “การสวดมนต์” นับเป็นหนึ่งวิธีของการปฏิบัติสมาธิ แต่เป็นการปฏิบัติสมาธิด้วยการใช้เสียง เป็นตัวรับสัญญาณกลที่อยู่บริเวณช่องปาก เวลาสวดจะทำให้เกิดเสียงแผ่วๆ ไปกระตุ้นการทำงานของตัวรับสัญญาณให้เกิดผลของการผลิตสาร เคมี ผลิตสารไฟฟ้า รวมทั้งสารสื่อประสาทและโปรตีนบางตัว เพื่อทำให้เกิดการปรับสมดุลร่างกาย ขึ้นอยู่กับจังหวะของเสียง และการสั่นสะเทือน
  หน้าที่ของตัวรับสัญญาณ คือ การสัมผัส กด สั่นสะเทือน เพราะฉะนั้นสั่นสะเทือนได้ดีก็สามารถควบคุมร่างกายที่มีความบกพร่อง สามารถดูแลคนที่มีปัญหาสุขภาพจิต เช่น คนที่มีความกังวลใจ นอนไม่หลับ หรือ คนที่มีแผลเรื้อรัง ฉะนั้นการสวดมนต์จึงเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์ขั้นสูงที่ควรเอามา ประกอบการดูแลผู้ป่วย


   ยกตัวอย่าง เวลาเราฟังเสียงสวดมนต์ อย่างเสียง ทุ้มๆ แผ่วๆ แล้วรู้สึกสบายใจ จุดนี้ทางการแพทย์มีคำอธิบายให้ฟังต่ออีกว่า “ปกติเราวุ่นวายยุ่งเหยิง สารสื่อประสาทตัวที่ทำให้สมองวุ่นวายจะกระฉูดขึ้นมา แต่ถ้าได้ยินเสียงแผ่ว ๆ สารสื่อประสาทก็จะวิ่งเข้าไปหาสัญญาณตัวที่ผ่อนคลาย แล้วสมองด้านวุ่นวายไม่ผ่อนคลายก็จะลดระดับลง และนี่ก็เป็นตัวแรกที่ลดระดับลง 

  เมื่อสวดไปซักระยะหนึ่ง สารสื่อประสาทก็จะเข้าไปส่วนสมองที่เป็นการกรองสัญญาณ ที่ทางการแพทย์เรียกว่า “ธารามัส” พอไปถึงตรงนั้นบริเวณตรงนี้จะปล่อยสารสื่อประสาทที่กันไม่ให้สมองชัก กันไม่ให้คนก้าวร้าว ไม่ให้ฟุ้งซ่าน และสารตัวนี้ก็จะทำให้สามารถช่วยเยียวยาแผล โดยจะใช้เวลาแค่เพียง 12 นาที และพอมาถึงจังหวะนี้คือสารเคมีในบริเวณสมองธารามัสจะออกมา ฉะนั้นต้องสวดให้ได้จังหวะ เพราะสัญญาณที่เกิดสั่นสะเทือนเบาๆ ต่ำกว่า 25 เมกะเฮิร์ทซ์ จะส่งผ่านเข้ามา ไม่ผ่านเข้าทางเดินอาหาร แต่ผ่านเข้าระบบทางเดินหายใจ ซึ่งก็หมายความว่า เราคุมการทำงานเส้นประสาทสมองตัวที่คุมอวัยวะข้างในได้

จุดสำคัญจึงอยู่ที่ร่างกายจะสามารถสร้างสารสื่อประสาทได้หรือไม่
รศ.ดร.สมพร เสริมว่า
“หลักการสำคัญอยู่ที่หากมีสิ่งเร้าหลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน ทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์  เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไปร่างกายก็จะสร้าง   ซีโรโทนิน ได้ไม่มากพอ”

และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์

photo : khaosod

นอกจากนี้ ทางด้าน รศ.จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้ข้อสรุปประโยชน์ของการสวดมนต์ไว้ 2 ข้อคือ
1.การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ
2.ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธาเพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้นบริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวด
เมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมทำให้ภูมิชีวิตดีขึ้นเป็นลำดับ ความป่วยก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ ดังนั้นผู้ที่สวดมนต์ภาวนาเป็นประจำจึงเป็นผู้ที่มีสุขภาพกายและสุขภาพใจที่ดี

หากจะอธิบายในแง่ของศาสนาแล้ว  ธรรมะบำบัดก็คือการนำเอาหลักธรรมะไปใช้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ โดยในแต่ละศาสนาอาจมีหลักการปฏิบัติแตกต่างกันออกไป  เช่น
ธรรมะบำบัดของศาสนาคริสต์ ก็คือการไถ่บาป หรือการให้อภัยแก่ตัวเอง
ส่วนศาสนาอิสลาม เมื่อเกิดความทุกข์ใจ ให้มีความเชื่อใจในพระเจ้า ว่าต้องสามารถผ่านด่านทดสอบไปให้ได้
สำหรับธรรมะบำบัดในทางพระพุทธศาสนานั้น คือการทำความดี  ละชั่ว  ทำใจให้สงบปลอดโปร่ง ซึ่งทำได้ด้วยการทำสมาธิและการสวดมนต์


การสวดมนต์ของพุทธศาสนานั้นนอกจากเป็นการกล่าวสรรเสริญถึงคุณงามความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และพระธรรมคำสอนที่พระองค์ท่านได้ทรงแสดงไว้แล้ว  การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจนอกจากจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองด้านร่างกายและจิตใจแล้ว หากเราหมั่นพิจารณาและทำความเข้าใจคำสอนในบทสวดมนต์นั้นบ่อยๆ  ยังสามารถก่อให้เกิดปัญญามองเห็นความจริงของชีวิตและบรรลุธรรมได้เหมือนพระอริยเจ้าทั้งหลายในสมัยพุทธกาลที่ได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพิจารณาธรรมไปตามลำดับจนบรรลุธรรมเป็นพระอริยสาวกในที่สุด   

มื่อการสวดมนต์ภาวนาส่งผลต่อสภาพร่างกายและจิตใจถึงเพียงนี้  จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมผู้คนสมัยใหม่  ไม่ว่าจะเชื้อชาติ หรือศาสนาใด จึงหันมาให้ความสนใจและศึกษาเรื่องของสมาธิบำบัดกันมากขึ้น






-------------------------------
บทความโดย : เดอะซัน
Facebook : @khaethinkpositive

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ประวัติการก่อพระเจดีย์ทราย

คนแบบไหนที่เราควรอยู่ใกล้ๆ

ชนะได้.. แต่ไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้ง !!